Search

ก่อนจะลงน้ำ ต้องรู้ !!! ตอนนี้ผมเห็นนักดำน้ำดำลงไป...

  • Share this:

ก่อนจะลงน้ำ ต้องรู้ !!! ตอนนี้ผมเห็นนักดำน้ำดำลงไปทำงานเกือบทุกวัน
มาลองดูกันครับว่า ความเสี่ยงของนักดำน้ำมีอะไรบ้าง อันนี้ขอพูดถึงเฉพาะนักดำน้ำแบบ SCUBA ก่อนนะครับ

ใครที่กำลังจะไปลงโลกใต้ทะเล ต้องจำให้ขึ้นใจ โดยเฉพาะผู้ที่สนใจจะไปเรียนดำน้ำนั่นเองครับ

มีอยู่ 4 โรคที่เกิดขึ้นได้จากการที่เราไปดำน้ำ ซึ่งจริงๆแล้วเรื่องพวกนี้จะถูกบรรจุอยู่ในการเรียนมาตรฐานอยู่แล้ว แต่ผมขอเอามาสรุปอีกครั้งหนึ่งให้ได้อ่านกันนะครับ จะขึ้นเขาก็มีโรคแพ้ความสูง จะลงน้ำก็มีโรคเช่นกัน 🙂 ตอนนี้ผมขอเล่าเฉพาะในส่วนของ 2 ปัญหาแรกก่อนในตอนนี้

ก่อนอื่น เราจะเริ่มต้นด้วยเรื่องของ "ความดันบรรยากาศ" เพราะมันคือจุดเริ่มต้นของภาวะความผิดปกติทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นเมื่อเราเริ่มมุดลงไปในน้ำตั้งแต่วินาทีแรก โดย ณ จุดที่เราอยู่ ณ ผิวน้ำ จะมีค่าความดันบรรยากาศคือ 1 ATM มีค่าเทียบเท่ากับ 760 mmHg

เมื่อเราลงไปลึกมาขึ้นเรื่อยๆ ความดันจะเพิ่มขึ้น แต่ปริมาตรจะลดลง ให้ลองคิดถึงที่ภาพ คนที่ถือขวดน้ำดำลงไปในน้ำลึกแบบในหนังครับ ถ้าเราลงไปได้สัก 10 เมตร เราจะเห็นขวดนั้นบูบี้ไปมาก ยิ่งลงไปลึกเท่าไร ก็จะยิ่งบูบี้มากขึ้นเท่านั้น โดยจะมีค่าคงที่ตามนี้

ที่ความลึก 0 เมตร ความดันคือ 1 ATM แต่ปริมาตรคือ 1
ที่ความลึก 10 เมตร ความดันจะเพิ่มเป็น 2 ATM แต่ปริมาตรจะเหลือ 1/2
ที่ความลึก 20 เมตร ความดันจะเพิ่มเป็น 3 ATM แต่ปริมาตรจะเหลือ 1/3
ที่ความลึก 30 เมตร ความดันจะเพิ่มเป็น 4 ATM แต่ปริมาตรจะเหลือ 1/4

จะเห็นว่าจุดที่ปริมาตรกับความดันปอดเปลี่ยนอย่างรวดเร็วคือ 10 เมตรแรก ที่ความดันเพิ่มขึ้น 100% ในขณะที่ปริมาณหายไป 50% ซึ่งผลลัพธ์ของปริมาตรกับความดันที่เปลี่ยนแปลง และพบได้เป็นอย่างแรกก็คือ อาการเจ็บหูนั่นเอง ที่กลายเป็นอุปสรรคทำให้หลายๆคนกลัวทะเลจนพาลไม่อยากดำน้ำไปโดยปริยาย

ทำไมถึงเจ็บหูในช่วงของ 10 เมตรแรกตอนที่ดำลงไป ต้องคิดถึงภาพหูของเราที่มีแยกส่วน ชั้นนอก ชั้นกลาง ชั้นใน โดยส่วนจุดที่แบ่งระหว่างหูชั้นนอกกับหูชั้นกลางคือ เยื่อแก้วหู ถ้าลองจินตนาการอีกสักเล็กน้อยก็จะพบว่า หูชั้นกลางของเราก็ไม่ต่างอะไรกับขวดน้ำชัดๆ โดยมีเยื่อแก้วหูคือผิวของขวดนั่นเอง ดังนั้น เมื่อเราดำลงไปสัก 10 เมตร ตัวของปริมาตรภายในหูชั้นกลางที่ลดลงอย่างรวดเร็วจะดึงให้เยื่อแก้วหูถูกดึงจนตึงเข้ามาด้านใน ผลก็คือ เราก็จะเจ็บหูมาก เจ็บชนิดทีเรียกว่าบอกไม่ถูก

ซึ่งวิธีการแก้ก็คือการเอามือสองข้างบีบจมูกแล้วหายใจออกแรงๆ (เพราะมันมีท่อเล็กๆที่เชื่อมระหว่างรูจมูกกับหูชั้นกลางอยู่ครับ) การหายใจออกแรงๆทั้งที่บีบจมูกอยู่ คือ การอัดอากาศจากปอดเรากลับเข้าไปในหูชั้นกลาง เพื่อดันเยื่อแก้วหูให้เรากลับไปตำแหน่งเดิม อาการปวดก็จะหายไป แต่เราจะทำแบบนี้ไม่ได้ถ้าตอนนั้นเราคัดจมูกอยู่ เพราะว่าเยื่อหุ้มโพรงจมูกจะบวมจนไปปิดรูที่ว่านี้ครับ เขาถึงบอกว่า ถ้าคัดจมูกแล้วก็ควรจะหลีกเลี่ยงการดำน้ำในเบื้องต้น

เมื่อสักครู่คือเป็นช่วงขาลงใช่ไหมครับ แล้วถ้าเป็นช่วงขาขึ้นละ เช่นกำลังจะขึ้นจากผิวน้ำ หลักการก็จะคล้ายๆกัน แต่เกิดตรงกันข้าม ปัญหาจะย้ายที่ไม่เกิดทีจมูกแล้ว แต่จะมาเกิดกับ "ปอด" แทน

สมมติเราอยู่ที่ความลึก 30 เมตร ตอนนั้นปอดเรามีปริมาตรปริมาณ 1/4 ของขนาดปอดปกติของเราขณะที่อยู่บนฝั่ง ถ้าให้เทียบกับขวดน้ำก็น่าจะบู้บี้พอสมควรแล้วครับ

สมมติว่าถ้าเราพุ่งขึ้นสู่ผิวน้ำในทันทีจาก 30 เมตรไปจนถึง 0 เมตร ผลที่เกิดขึ้นคืออะไร

"ปอดแหก" นั่นเองครับ หรือ "ปอดแตก" เพราะว่า ปริมาตรของปอดจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจาก 1/4 มาถึง 1 หรือเพิ่มขึ้นอีก 3 เท่าในเวลาสั้นๆ การเพิ่มปริมาตรปอดอย่างรวดเร็วอาจจะเทียบกับเวลาเป่าลูกโป่งก็ได้ครับ การค่อยเป่าๆ ลูกโป่งจะแตกยากกว่าการเป่าพรวดเดียวด้วยลมในปริมาตรเดียวกัน

ซึ่งทำให้ตอนที่เราจะขึ้นจากระดับน้ำลึกมาจนถึงผิวน้ำ เขาถึงบอกว่าให้เราร้อง "อ้า" อยู่ตลอดเวลา เหตุผลคือ การร้องอ้า จะเปิดการช่องทางของอากาศภายในปอดให้ถ่ายเทออกสู่ด้านนอก เสมือนหนึ่งเป็นการลดปริมาตรของปอดไปอย่างช้าๆ เพื่อรักษาสมดุลกับปริมาตรที่เพิ่มขึ้นในขณะที่เรากำลังพาตัวเองไต่ระดับความลึกขึ้นไปนั่นเองครับ

อันนี้ว่ากันแค่เรื่องของ ปริมาตร กับ ความดัน เท่านั้น ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องชนิดของก๊าซที่มีส่วนสำคัญมากอีกอย่าง ทีเป็นปัญหาสำคัญของการดำน้ำเลยก็คือเรื่องของ โรคน้ำหนีบ เดี๋ยวจะมาว่ากันอีกครั้งในครั้งต่อไปนะครับ


Tags:

About author
not provided
Let us inspire you to see the outside world! Blog : https://www.worldwantswandering.com Instagram : worldwantswandering
View all posts